3 จุดท่องเที่ยว ที่ต้องแวะให้ได้ เมื่อไปเยี่ยมอุทัยธานี
- ณ อุทัยธานี
- ภาคเหนือ
- หมวด: อุทยานแห่งชาติ, เที่ยวภูเขา เข้าถ้ำ
- 12 พฤศจิกายน 2020
3 จุดท่องเที่ยว ที่เราจะกำลังจะได้ไปเยี่ยมชมสัมผัสธรรมชาตินั้น เป็นการต่อยอดหลังจะที่เราได้ทำบุญตักบาตรเทโวในตอนเช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยังมีเวลาช่วงเที่ยงถึงเย็นที่จะแวะหาอะไรทานก่อนกลับกรุงเทพ เริ่มต้นเส้นทางด้วย สวิตเซอร์แลนด์ เมืองไทย กับคำถามที่ติดอยู่ในใจว่าทำไมต้องชื่อนี้ เพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะอากาศดีสดชื่น หรือวิวสวยงาม หรืออะไรมากมายที่ยังไม่รู้ก็ต้องลองไปให้เห็นกับตาของเราเอง ในบริเวณเดียวกันก็จะมีสถานที่มากมายให้แวะชมได้ ไม่ว่าจะเป็น หุบป่าตาด ที่มีถ้ำ หุบเขา ต้องแวะให้ได้ หรือจะเป็นภาพวาดโบราณ (ไม่ได้แวะไป) หรือจะเป็นน้ำตกไซเบอร์ ถ้ำเขาพระยาพายเรือ อ่างเก็บน้ำห้วยขุนแก้ว น้ำพุร้อนสมอทอง ก็สามารถเดินทางไปเส้นทางนี้ได้เหมือนกัน ใครสามารถจัดสรรค์เวลาได้ก็ตามสะดวก
ได้เวลาปักหมุดเดินทาง วิ่งไปตามเส้นทางหมายเลข 333 ขับตรงไปสักพักแล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนหมายเลข 3438 สังเกตุจะมีป้ายบอกว่าทางไปหุบป่าตาดอีกประมาณ 28 กิโลเมตร เป็นทางไปอำเภอ ลานสัก เรามุ่งหน้าสู่ บ้านชายเขา
ด้วยวิวที่สมกับชื่อบ้านชายเขา สมกับชื่อจริงๆ เป็นสถานที่ที่มีวิวทิวทัศน์ล้อมรอบไปด้วยหุบเขาหินปูนสูง สลับซับซ้อนกันไปมา สร้างความอบอุ่นแถมให้ความร้อนกับเราในยามบ่ายได้มากเอาเรื่องอยู่นะ แต่แดดจัด ก็จะได้ภาพสีสดใสพอที่จะทดแทนกันได้
เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้จะพบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมกันเยอะมาก ด้วยจำนวนรถส่วนตัวที่จอดข้างทางเป็นระยะๆ การขับรถสวนทางกันก็ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปกันนะ ไม่ต้องรีบ ณ จุดเช็คอินมีการทำชั้นไม้ยกระดับให้เราขึ้นไปถ่ายรูป เดินเยี่ยมชม ร้านอาหารมีให้บริการ โดยฌแพาะคนรักส้มตำ แต่สำหรับเราแล้วขอขับรถผ่านไปชมจุดอื่นดูก่อน คือขับผ่านๆ ไปก่อนหาวิวสวย คนน้อยๆ จะได้ใช้เวลาในการถ่ายรูปให้สบายใจ เราก็ได้จุดที่ไม่มีคน คือขับเลยมานิดหน่อย ซึ่งจุดนี้อาจจะเป็นจุดสำหรับกลับรถ แต่เราขอจอดลงถ่ายภาพก็แล้วกัน ก็สามารภขับชมวิวต่อไปได้
บรรยากาศ 2 ข้างทางเป็นไร่ข้าวโพดทั้ง 2 ข้างทาง ในวันที่เราไปนั้น ข้าวโพดกำลังออกฟัก เริ่มโตดูสวยงาม ในพื้นที่ยังมีคนงานค่อยดูแล ได้พูดคุยกับพี่คนดูแลไร่ข้าวโพด แกบอกว่า ต้องมาเฝ้าไร่ เพราะจะมีลิงลงมาแอบกินข้าวโพด ถึงว่าในช่วงเวลาที่เราทำตัวเงียบ เอาแต่ถ่ายรูป ก็จะได้ยินเสียงเจ้าหัวโขมยดังมาเป็นระยะ ณ ที่แห่งนี้ด้วยธรรมชาติที่โอบไปด้วยเขารอบด้านจะส่งผลให้ในยามเช้าของบางวัน ก็จะทำให้มีหมอก ถ้าเป็นหน้าหนาวคงเย็นได้ใจเหมือนกันนะ ที่พัก รีสอร์ท แถวนี้ก็มีพัก เอาไว้นอนดูดาว ตอนเช้าดูหมอก ก็ยังได้
ขณะที่กำลังเดินเล่นชมวิว ปรากฏว่าได้เพื่อนใหม่ เพื่อนตัวเล็กที่บินไปมาไม่ยอมไปไหน คงเพราะเหงื่อของผมที่มันออกในช่วงบ่ายวันนั้น รสชาติคงออกเค็ม เขาเลยมาลิ้มรสความเค็ม ไม่ใช้คนงกนะ แต่ไม่ให้ใครยืมตังก็แล้วกัน เอาเป็นว่าอากาศค่อนข้างร้อน ถึงร้อนมากในช่วงบ่ายก็เตรียมหมวก เตรียมร่มติดตัวมาด้วย ยาดมก็ได้ เดี่ยวจะเป็นลมไปซะก่อน แต่ก็แปลกเหมือนกันก็มีลมเย็มๆ พัดผ่านอยู่ตลอดเวลา ช่วยลดความร้อนให้กับเราได้
ด้วยความร้อนที่ทำให้เราใช้เวลาได้ไม่นานก็ต้องหาที่เติมน้ำให้กับร่างกาย แวะหาน้ำดื่นเย็นๆ จะเป็นการดีกว่า กับร้านที่มีชื่อว่า อยู่กับเขา อยู่ระหว่างทางที่เราจะมุ่งหน้าไป หุบป่าตาด สำหรับผมชื่อนี้เหมือนมี 2 ความหมายคือ หุบเขาแถวนี้ คือที่อยู่ของเรา กับคนของเราไปอยู่กับเขา อันหลังนี้เศร้าไปหน่อย ใครอกหักก็ต้องมาพักร้านนี้เนอะ ร้านแห่งนี้ทำให้ผมได้รู้จักกับนางฟ้า เธอเป็นนางฟ้าประจำงานตักบาตรเทโว เป็นน้องฟ้ามาก่อน วันนี้นางฟ้ามาขายน้ำ แถมที่สำคัญยังให้ลายแทงขุมทรัพย์ความอร่อยของอุทัยธานี แนะนำร้านอาหารท้องถิ่น หลายร้านเหมือนกันแต่รู้สึกว่าเราจะไปไม่ทันเพราะคงได้ไปช่วงเย็น กลับมาที่ร้าน วิวที่ร้านนี้สวยเอาเรื่องนะ แถมมีบริการที่พักให้ด้วย ได้น้ำเย็น พักร่างกายก็เริ่มเดินทางต่อ
ขณะที่กำลังขับรถมุ่งหน้าไปสู่หุบป่าตาดในใจยังคิดติดอยู่ในใจว่าทำไมต้องใช้ชื่อว่า สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย เราน่าจะมีชื่อเป็นของเราเองเช่นโอบกอดแห่งหุบเขา วิวงามยามเช้าด้วยหุบเขาของเรา อะไรประมาณนี้ พอคนมาถึงแล้วจะได้ไม่รู้สึกไม่ดีกับคำๆ นี้ เป็นความคิดส่วนตัวนะ
เราสร้างภาพให้คนอื่นมองเราได้ แต่อย่าได้ลืมตัวตนของเราเอง
หลังจากดับกระหายคลายร้อนด้วยน้ำอื่นโซดาเย็นๆ ก็ได้เวลามุ่งหน้าต่อไปยังหุบป่าตาด ซึ่งตั้งอยู่ ตำบลทุ่งนางาม มีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ อยู่ในความดูแลของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำประทุน เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความพิศวงทางธรรมชาติ จนได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ มีลักษณะเป็นโถงถ้ำขนาดใหญ่ทางเดินเข้าหุบเขาป่าตาดมืดสนิท แต่เดินไม่นานจะถึงปล่องขนาดใหญ่ที่แสงส่องลมาและจะพบป่าตาดที่ให้ความรู้สึกเหมือนว่าได้มาอยู่ในโลกยุคดึกดำบรรพ์ ลักษณะคล้ายป่าดงดิบความชุ่มชื้นสูง แสงส่องถึงพื้นได้เฉพาะตอนเที่ยงวันเพราะมีเขาหินปูนสูงชันล้อมรอบ มีความร่มรื่นเหมาะแก่การเดินชมธรรมชาติ ระยะทางเดินไป-กลับ 700 เมตร ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ก่อนการเข้าชมธรรมชาติก็ต้องเสียค่าบริการกันก่อน โดย ชาวไทย ที่เป็นผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ส่วนชาวต่างชาติ 200 บาท พร้อมแถมไฟฉายให้ 1 อัน ไฟฉายให้ยืมนะไม่ได้ขายคู่ ตอนออกมาก็อย่าลืมคืนกันด้วย เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 8.30 น. – 16.00 น. ส่วนใครที่แพ้แมลงง่าย เช่นยุง ก็ให้พกยากันยุงติดตัวมาด้วย ถามว่าเราจะใช้เวลาอยู่ในสถานที่แห่งนี้นานเท่าไรถึงชมได้ทุกจุดครบ แนะนำว่าให้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้นะ ก็ครบหมดแล้ว
หุบป่าตาด เป็นเสมือนห้องนิทรรศการที่ถูกจัดขึ้นให้หุบเขา โดยเริ่มแรกจากเส้นทางเดินชมธรรมชาติขึ้นบันได แล้วเข้าสู่ถ้ำที่มีแต่ความมืด ไฟฉายที่ให้ก็จะเป็นประโยชน์ก็ตอนนี้ เหมือนเรากำลังค้นหา วันที่เราไปนั้นเจ้าหน้าที่แจ้งว่าฝนตกก็ให้ใช้ความระมัดระวัง เดียวเพราะมันลื่นได้ง่าย แล้วเราก็จะเห็นแสงสว่างที่ปลายถ้ำเหมือนเริ่มเข้าสู่ส่วนเวทีการแสดง จุดนี้จะสังเกตุว่าทุกคนเริ่มจะยกมือถือมาถ่ายรูปกันแล้ว บรรยากาศอารมณ์เหมือนในหนังเรื่องจูราสสิค พาร์ค มีไดโนเสาสักตัวนะใช่เลย หลังจากที่เราเดินขึ้น ก็จะเป็นช่วงเดินลงได้สบาย ตามเส้นทางจะมีป้ายช่วยอธิบายสิ่งต่างๆ รอบตัวถึงไม่มากก็เป็นประโยชน์ เพื่อเพิ่มความรู้ แล้วปฏิบัติตามกฏ
ทีนี้มารู้จักต้นตาด หรือ ต๋าว กันก่อนดีกว่า เป็นพืชใบเลี้ยงเดียวชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์ปาล์ม ลำต้นตรง ไม่แตกหน่อ ในเป็นแฉก ดอกเป็นดอกช่อ แนกตัวผู้ ตัวเมืน ช่อดอกตัวผู้ออกได้หลายครั้ง แต่ช่อดอกตัวเมียออกครั้งเดียว ขึ้นในป่าดิยที่มีชั้นดินลึก ตามภูเขาหินปูน
ในระหว่างทาง เราจะได้พบกับพันธ์ุไม้หลากหลายอย่าง พูพอน ที่ชื่อว่าฐานแห่งความยิ่งใหญ่ ต้นไม้แต่ละชนิดไม่ได้มีรากที่หยั่งยึดลำต้นให้ยืนเด่นทุกต้นไป ขึ้นอยู่กันชนิดของต้นไม้ ความตื้นหนาของขั้นพื้นผิวดิน ต้นไม้จึงมีการปรับตัว โดยการสร้างพูพอนขนาดใหญ่ในการค้ำยันลำต้นไม้ไม่ให้โค่นล้มได้ง่าย ยามที่ต้องเผชิญลมพายุ คนเราเองยังต้องปรับตัวรับกับสถานการณ์ต่างๆ เลย ไม่ปรับตัวก็ไม่รอดจริงนะ มาดูข้อมูลเพิ่มเติมจากที่ได้ลองหามา
พูพอน (buttress root) เป็นรากแบบหนึ่ง ที่เกิดจากการปรับตัวของต้นไม้บางชนิดที่เกิดอยู่บริเวณริมน้ำ อยู่ในพื้นที่ที่มีดินตื้น หรืองอกอยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม ที่ซึ่งรากแก้วไม่สามารถชอนไชลงไปในดินได้ ต้นไม้จึงมีการปรับตัวให้รากเปลี่ยนแปลงรูปร่างให้มีลักษณะเป็นแผงใหญ่ยื่นออกนอกลำต้นทางโคน ซึ่งติดกับรากแขนงของไม้ยืนต้น ซึ่งรากพูพอนจะช่วยดูดซับน้ำและช่วยลดแรงสั่นสะเทือนให้กับต้นไม้ เพื่อให้อยู่ในสภาวะที่ไม่เหมาะสมได้
นอกจากทำหน้าที่สำคัญในการพยุงลำต้นแล้ว พูพอนยังทำหน้าที่ดักเก็บเศษซากพืชซากสัตว์บนผิวดินที่จะย่อยสลายกลายเป็นแร่ธาตุให้กับต้นไม้ และช่วยกักและดูดซับธาตุอาหาร เนื่องจากเวลาฝนตกน้ำจะชะแร่ธาตุซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณผิวดินออกไป การที่มีพูพอนจะทำให้สามารถกักแร่ธาตุสารอาหารไม่ให้ไหลไปกับน้ำได้
*ที่มา มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
มุมถ่ายภาพตามธรรมชาติมีหลายจุดใครมองเห็นหาเจอก็ได้ภาพสวยติดตัวกลับไป เดินช้าๆ ค่อยไปทีละนิด
สิ่งที่ห้ามพลาด ถึงมากที่สุดคือต้องหากิ้งกือมังกรสีชมพูให้เจอ เพราะในโลกนี้มีที่นี่ที่เดียว ตัวไม่ใหญ่ หุบป่าตาดแห่งนี้ ได้มีการพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ และที่พบได้แห่งเดียวในโลก เป็นสัตว์อันดับที่ 3 การค้นพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ของโลก จะสามารถพบเห็นได้ในช่วงเดือนสิงหาคม ไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เราเองก็นึกว่าตัวของเขาจะใหญ่เหมือนกิ้งกือทั่วไปที่เคยเห็นมาก่อน ถ้านักท่องเที่ยวคนอื่นไม่เห็นแล้วตะโกนบอก คงไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง
ได้เวลาเตรียมตัวกลับกรุงเทพ แต่ก่อนกลับด้วยข้อมูลที่นางฟ้าตัวน้อยได้ให้ลายแทงความอร่อยกับเรามานั้น ก็ต้องตามเส้นทางไปลิ้มรสชาติตามที่บอก มุ่งหน้ากลับเข้าตัวเมืองอุทัยธานี วิ่งวนๆ หาที่จอดรถ อาจจะลำบากนิดหน่อยเพราะเราไม่ใช่คนท้องถิ่นไม่รู้กติกาจราจรมาก ได้ที่จอดก็ใช้การเดินเท้าเข้าสู่ตลาดกันเลย
เราพูดความเป็นมากันก่อนก็ดีนะ เป็นข้อมูลจากแผ่นพับที่เราได้มา มีข้อมูลว่า ตรอกโรงยาเช็กเกี๋ยกั้งมีความเป็นอยู่ที่หลากหลาย มีศิลปวัฒนธรรม มีการผสมผสานวิถีชีวิตไทย-จีน ที่กลมกลืนจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นการอนุรักษ์ รักษาความเป็นอัตลักษณ์ของชาวอุทัยธานีและเป็นการประชาสัมพันธ์จังหวัดอุทัยธานีให้เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป ซึ่งแต่เดิมประชาชนรู้จักจังหวัดอุทัยธานีไม่มากนัก เพราะเป็นเมืองเล็กๆ ที่เก็บตัวในความสงบ เรียบง่ายตามวิถีชาวอุทัยธานีมาอย่างยาวนาน จึงได้มีมติร่วมกันอนุรักษ์และพัฒนาตรอกโรงยาเซ็กเกี๋ยกั้งให้เป็นแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตชาวอุทัยธานี โดยได้รวบรวมประวัติความเป็นมาของเมืองอุทัยธานี รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ในอดีตที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมประเพณีของชาวอุทัยธานี จัดแสดงให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาสัมผัสเรียนรู้ มีการทำอาหาร ขนม แบบโบราณที่หารับประทานได้ยากมาจัดจำหน่ายให้ผู้มาเยี่ยมชมได้เลือกซื้อ เลือกชิ้มและสิ่งที่สำคัญ เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ รักษาความเป็นอัตลักษณ์ ไม่ให้ดวามเจริญเข้ามาครอบงำจนทำให้เมืองเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไปเหมือนกับหลายๆ แห่งจนไม่เหลือความเป็นตัวตนของเมืองและซาวบ้าน ขาดความรักษ์บ้านเกิด ดวามเอื้ออาทรดูแล ช่วยเหลือของคนในชุมชนและผู้มาเยือน
เดินๆ มาก็ได้เจอขุมทรัพย์ความอร่อยแห่งแรก ตามหาไม่ยาก เดินตามกลิ่นไป สังเกตุจากจำนวนคนเข้าคิว ก็จะรู้ได้ว่าเรามาถึงแล้วกับ หมูสเต็กเข้าคิว ความอร่อยวัดได้จากจำนวนคนที่เข้าคิว จำนวนเตาปิ้งที่มีมาก พร้อมทีมงานที่กำลังทำการปิ้งอยู่ อุปกรณ์ครบมือ ทั้งตัวบ่งบอกได้เลยว่าต้องอร่อย แต่ต้องลองด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะรู้ ราคาไม่แพง ที่แน่ๆ คือรสชาติที่ต้องกลับมาทานใหม่อีกครั้ง
จุดที่ 2 กับ เจ้ดาปลาลวก มาอุทัยธานีก็ต้องหาโอกาศลิ้มรสปลาแรดที่นำมาลวกพร้อมน้ำจิ้มรสอร่อย อยู่ไม่ไกลจากร้านหมูสเต็กเข้าคิว ร้านนี้ที่นั่งอาจจะไม่มากนัก ยิ่งวันเสาร์ที่มีถนนคนเดิน ร้านจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวก็ต้องรอนิดหน่อย อย่าโมโหหิวกันล่ะ
Copyright 2020 – Your Time Travel design by Chittakorn Corporation Co.,Ltd